Gimmick of Kimono
ในแต่ละประเทศจะมีชุดประจำชาติของชาตินั้นๆ ล้วนมีที่มาและมีความสำคัญ ซึ่งสามารถบอกเล่าความหมายต่างๆหรือบอกเล่าความเป็นมาของแต่ละประเทศได้ และในวันนี้ได้มีโอกาสมาประเทศญี่ปุ่น แน่นอนว่าชุดประจำชาติของประเทศนี้ ทุกคนน่าจะเคยได้ยินและได้เห็นกันมาบ้าง นั่นก็คือ ชุด ‘กิโมโน’
ชุด กิโมโน มีให้ชาวญี่ปุ่นได้สวมใส่มานานนับพันปี มีมาตั้งแต่สมัยเฮอันหรือ คศ794-1192 ซึ่งถือเป็นช่วงเริ่มต้นในการใส่กิโมโน ในยุคนั้นชาวญี่ปุ่นชอบใส่เสื้อผ้าที่มีชิ้นเดียวกัน จึงตัดผ้าเป็นเส้นตรง โดยเป็นชุดคลุมทีเดียว ทำให้ง่ายต่อการสวมใส่ และสามารถใส่ได้กับทุกสภาพอากาศ ถ้าในช่วงฤดูหนาวก็จะเป็นผ้าหนาให้ความอบอุ่น ฤดูร้อนก็จะเป็นผ้าที่บางๆ ด้วยความสะดวกสบายของชุด ทำให้ถูกแพร่หลายอย่างรวดเร็ว และคำว่า
- กิ(ki) มีความหมายว่า สวมใส่
- โมโน(mono) มีความหมายว่า สิ่งของ
รวมกันจึงหมายถึง สิ่งของที่ใช้สวมใส่ หรือเครื่องแต่งกาย นั่นเอง
ภายนอกของชุดนั้นมีความสวยงามเมื่อได้ใส่ แต่ขั้นตอนของการใส่นั้นด้านใน มีหลายขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการผูก มัด ซับในด้วยผ้าต่างๆ ล้วนมีความเนี๊ยบ ความละเอียด ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยการให้ความสำคัญทุกขั้นตอน ความเอาใจใส่ของชาวญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี และยังเสริมสร้างบุคคลิกที่ดีให้ ผู้ที่สวมใส่ เป็นกุลสตรี มีความสง่างาม เมื่อได้ใส่อีกด้วย
ในปัจจุบัน จะมีการใส่กิมโมโนในวันสำคัญ พิธีการต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานปีใหม่ ครบรอบ20ปี ฯลฯ ส่วนผู้ที่สวมใส่กิโมโนทุกวันนั้น จะเป็นผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับศิลปะญี่ปุ่นมาแต่โบราณ และชาวต่างชาติอย่างเรานั้นไม่สามารถใส่ชุดกิโมโนเองได้ ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้ถือเป็น การเตรียมตัวเพื่อเป็นเจ้าสาวของชาวญี่ปุ่นข้อหนึ่งเลยค่ะ
สุดท้ายนี้ ถ้าทุกคนได้มีโอกาสมาเที่ยวญี่ปุ่น อยากแนะนำให้ลองเช่ากิโมโนใส่สักครั้งหนึ่งในชีวิตค่ะ ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ที่ดี ได้เรียนรู้ประวัติ วัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น ได้สัมผัสชุดกิโมโนที่มีมาแต่โบราณ รวมถึงขั้นตอนการสวมใส่ของชุดอย่างแท้จริง ชาวญี่ปุ่นมีความละเอียดรอบคอบ ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ มีความพิถีพิถัน มีความมุ่งมั่นจริงจัง ด้วยส่วนนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นเป็นคนมีคุณภาพ และทำให้ประเทศมีความเจริญก้าวไกลจนมาถึงทุกวันนี้